ปริยาทาย ฐสฺสนฺติ ฯ
[๑๔๔] อากาสสมํ ราหุล ภาวนํ ภาเวหิ อากาสสมญฺหิ เต
ราหุล ภาวนํ ภาวยโต อุปฺปนฺนา มนาปามนาปา ผสฺสา จิตฺตํ
น ปริยาทาย ฐสฺสนฺติ ฯ เสยฺยถาปิ ราหุล อากาโส น กตฺถจิ
ปติฏฺฐิโต เอวเมว โข ตฺวํ ราหุล อากาสสมํ ภาวนํ ภาเวหิ
อากาสสมญฺหิ เต ราหุล ภาวนํ ภาวยโต อุปฺปนฺนา มนาปามนาปา
ผสฺสา จิตฺตํ น ปริยาทาย ฐสฺสนฺติ ฯ
[๑๔๕] เมตฺตํ ราหุล ภาวนํ ภาเวหิ เมตฺตญฺหิ เต ราหุล
ภาวนํ ภาวยโต โย พฺยาปาโท โส ปหิยิสฺสติ ฯ กรุณํ ราหุล
ภาวนํ ภาเวหิ กรุณญฺหิ เต ราหุล ภาวนํ ภาวยโต ยา วิเหสา
สา ปหิยิสฺสติ ฯ มุทิตํ ราหุล ภาวนํ ภาเวหิ มุทิตญฺหิ เต
ราหุล ภาวนํ ภาวยโต ยา อรติ สา ปหิยิสฺสติ ฯ อุเปกฺขํ
ราหุล ภาวนํ ภาเวหิ อุเปกฺขญฺหิ เต ราหุล ภาวนํ ภาวยโต
โย ปฏิโฆ โส ปหิยิสฺสติ ฯ อสุภํ ราหุล ภาวนํ ภาเวหิ
อสุภญฺหิ เต ราหุล ภาวนํ ภาวยโต โย ราโค โส ปหิยิสฺสติ ฯ
อนิจฺจสญฺญํ ราหุล ภาวนํ ภาเวหิ อนิจฺจสญฺญญฺหิ เต ราหุล
ภาวนํ ภาวยโต โย อสฺมิมาโน โส ปหิยิสฺสติ ฯ
[๑๔๖] อานาปานสตึ ๑ ราหุล ภาวนํ ภาเวหิ อานาปานสติ ๒
ราหุล ภาวิตา พหุลีกตา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ฯ กถํ
ภาวิตา จ ราหุล อานาปานสติ กถํ พหุลีกตา มหปฺผลา โหติ
#๑ โป. อานาปานสฺสตึ ฯ ๒ โป. อานาปานสฺสติ หิ ฯ ม. อานาปานสติ หิ เต ฯ
ก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยลม ฉันนั้น เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วย
ลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.
[๑๔๔] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนา
เสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.
ดูกรราหุล เปรียบเหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศ
ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ
ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.
การเจริญภาวนาธรรม ๖ อย่าง
[๑๔๕] ดูกรราหุล เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่
จักละพยาบาทได้. เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่ จักละ
วิหิงสาได้. เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่ จักละอรติได้.
เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จักละปฏิฆะได้. เธอจง
เจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่ จักละราคะได้. เธอจงเจริญอนิจจสัญญา
ภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่ จักละอัสมิมานะได้.
อานาปานสติภาวนา
[๑๔๖] ดูกรราหุล เธอจงเจริญอานาปานสติภาวนาเถิด เพราะอานาปานสติที่บุคคล
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผล มีอานิสงส์ใหญ่. ก็อานาปานสติอันบุคคลเจริญอย่างไร
ทำให้มากอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่? ดูกรราหุล ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี
อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติ
หายใจออก มีสติหายใจเข้า. เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว
ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว. เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น
ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียก
ว่า จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจออก ย่อม