ต. สุขและทุกข์บังเกิดขึ้น เพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้หรือ
ท่านพระโคดม ฯ
ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ ฯ
ต. สุขและทุกข์ไม่มีหรือ ท่านพระโคดม ฯ
ภ. สุขและทุกข์ไม่มีหามิได้ สุขและทุกข์มีอยู่ ติมพรุกขะ ฯ
ต. ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดม ย่อมไม่รู้ ไม่เห็นสุขและทุกข์ ฯ
ภ. เราย่อมไม่รู้ไม่เห็นสุขและทุกข์หามิได้ เรารู้เห็นสุขและทุกข์อยู่ติมพรุกขะ ฯ
ต. เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม สุขและทุกข์ตนกระทำเองหรือท่านตรัสว่า
อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ เมื่อข้าพเจ้าถามว่า สุขและทุกข์ผู้อื่นกระทำให้หรือ ท่านพระ
โคดม ท่านตรัสว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะเมื่อข้าพเจ้าถามว่า สุขและทุกข์ตนกระทำ
เองด้วย ผู้อื่นกระทำให้ด้วยหรือ ท่านพระโคดม ท่านตรัสว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ
เมื่อข้าพเจ้าถามว่าสุขและทุกข์บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้
หรือท่านพระโคดม ท่านตรัสว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ เมื่อข้าพเจ้าถามว่า สุขและ
ทุกข์ไม่มีหรือ ท่านตรัสว่า สุขและทุกข์ไม่มีหามิได้ สุขและทุกข์มีอยู่ ติมพรุกขะเมื่อข้าพเจ้า
ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดม ย่อมไม่รู้ไม่เห็นสุขและทุกข์ท่านตรัสว่า เราย่อมไม่รู้ไม่เห็น
สุขและทุกข์หามิได้ เราเห็นสุขและทุกข์อยู่ติมพรุกขะ ขอท่านพระโคดมจงตรัสบอกสุขและ
ทุกข์แก่ข้าพเจ้า ขอท่านพระโคดมจงทรงแสดงสุขและทุกข์แก่ข้าพเจ้า ฯ
[๕๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรติมพรุกขะ เมื่อบุคคลถืออยู่ว่านั่นเวทนา นั่นผู้เสวย
[เวทนา] ดังนี้ แต่เราไม่กล่าวอย่างนี้ว่า สุขและทุกข์ตนกระทำเอง เมื่อบุคคลถูกเวทนาทิ่มแทง
[รู้] อยู่ว่าเวทนาอย่างหนึ่ง ผู้เสวย[เวทนา] เป็นอีกคนหนึ่ง ดังนี้ แต่เราไม่กล่าวอย่างนี้ว่า
สุขและทุกข์ผู้อื่นกระทำให้ ดูกรติมพรุกขะ ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุด
ทั้งสองนั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ความ
เกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยสำรอก
โดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ